จับตามองกระแสการเดินเกมส์ของบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ จากที่ได้เคยนำมาเสนอไปแล้วว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแบบอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม ด้านตะวันออกของประเทศ แถบนิคมอุตสาหกรรมเริ่มมีความคึกคัก บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ ของประเทศเข้าไปเจาะตลาดที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนทำงานที่ปัจจุบันเช่าอพาร์ตเม้นต์ อยู่อาศัย ให้สามารถเป็นเจ้าของห้องคอนโดได้ในราคาไม่สูง ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่มีฐานกว้าง และมีความต้องการมากในเขตนั้น และนอกจากมีการทำโครงการที่อยู่อาศัยราคาไม่ถึง 1 ล้านบาทแล้ว บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ยังมีโครงการใหม่ ที่เป็นการเจาะลูกคาในตลาดระดับบน หรือตลาดที่อยู่อาศัยราคาแพงอีกด้วย สาเหตุที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เปิดโครงการใหม่เพื่อตอบสนองตลาดบนในช่วงนี้ ประชาชาติธุรกิจ ได้วิเคราะห์ไว้ว่า... เกิดจากปัจจัย 2 ส่วน คือ 1. เป็นกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อสูง ในขณะที่ตลาดระดับกลาง-ล่าง มีกำลังซื้อที่ชะลอตัว และ 2 กลุ่มลูกค้าที่มีฐานะต้องการบ้านระดับไฮเอนด์ทำเลในเมือง แทนการซื้อคอนโดฯ เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างผู้ประกอบการที่มีโครงการเพื่อตลาดระดับบน เช่น บมจ.ไรมอน แลนด์ จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับหรู ราคาหลังละ 50 ล้านบาท บนทำเลย่านกลางเมืองและศูนย์ธุรกิจ ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด ในปี 58 บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวในแบรนด์ “มาสเตอร์พีซ” ราคา 15-30 ล้าน เพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 3 โครงการ ในปี 58 บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จะเปิดตัว คอนโดมิเนียมหรูระดับไฮเอนด์ ภายในปลายปีนี้ และต้นปีหน้า บริษัท เปี่ยมสุข ดี เวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดตัวบ้านเดี่ยวในชื่อ “เดอะมาสเตอร์” ราคาหลังละ 17 ล้านบาท เพื่อกลุ่มลูกค้าตลาดบนที่ไม่ต้องการอยู่อาศัยในคอนโดในเมือง บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เตรียมเปิดตัว บ้านเดี่ยว ราคาหลังละ 30-50 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “พาร์ค พรีวา” ซึ่งสำหรับบริษัทนี้ เป็นการขยับตัวครั้งใหม่ ซึ่งแต่เดิมจะทำโครงการบ้านจัดสรรราคาระดับกลาง เป็นอีกบริษัทที่เข้ามาร่วมในตลาดบนเพิ่มอีกเจ้า นี่เป็นตัวอย่างการเคลื่อนไหวปรับตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ ของประเทศ ที่มีแนวโน้มทิศทาง เจาะกลุ่มตลาดบน และดังที่เคยเล่าไปก่อนหน้าว่ามีการรุกในตลาดราคาระดับล่างด้วย ดังนั้นตลาดอสังหาฯ ที่จะอยู่ในช่วงชะลอตัว ย่อมเป็นตลาดที่อยู่อาศัยราคาระดับกลาง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากยอดการสร้างที่มีมากในช่วงก่อนหน้า และผลจากกำลังซื้อที่ถดถอยของฐานลูกค้ากลุ่มนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของตลาดระดับกลาง อาจเป็นจังหวะที่ดี เพื่อให้เกิดการปรับฐานระหว่างดีมานด์กับซับพลาย และรอความมั่นใจและกำลังซื้อของตลาดระดับกลางที่จะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในปี 58 ที่จะมาถึงนี้